วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

กิโมโนศาสตร์ #1: กิโมโน คืออะไร

     กิโมโน (着物, きもの) เป็นเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น คำว่า "กิโมโน" มีความหมายว่า "สิ่งสำหรับสวมใส่" กิโมโนมีลักษณะคล้ายเสื้อคลุมที่ยาวมาก ซึ่งนิยมสวมใส่กันในเทศกาลต่างๆ หรือโอกาสพิเศษ เพราะกิโมโนถือว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของความสุภาพนั่นเอง

     กิโมโน มีซับใน คอปกแบบพิเศษ และส่วนแขนที่ทั้งกว้างและยาว การสวมกิโมโน คือการนำมาห่อร่างกาย ซึ่งจำเป็นมากที่จะต้องสวมแบบให้ด้านซ้ายทับด้านขวา เพราะการสวมแบบขวาทับซ้าย จะใช้สำหรับศพในพิธีฝัง หลังจากสวมกิโมโนแล้ว จะพันรอบเอวด้วยผ้าอีกชิ้น เรียกว่า "โอบิ (帯)" แล้วมัดไว้ด้านหลัง (ในกรณีทั่วไป) สำหรับรองเท้าที่ใส่คู่กันนั้น ควรเป็นรองเท้าญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมและถุงเท้าทะบิ

     กิโมโนมีหลายแบบ เช่น ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานจะใส่กิโมโนแขนยาว (Furisode: 振袖) ในขณะที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะใส่กิโมโนแขนสั้นกว่า (Kosode: 小袖)

กิโมโนแขนยาว (振袖) กิโมโนแขนสั้น (小袖)

     ระหว่างยุค Kofun ถึงช่วงต้นยุค Heian แฟชั่นจีนมีอิทธิพลต่อชาวญี่ปุ่นมาก เนื่องมาจากการอพยพเข้าของคนจีนจำนวนมาก และการส่งทูตจากญี่ปุ่นสู่จีนช่วงราชวงศ์ถัง ในยุค Heian รูปแบบของกิโมโนดูงดงามมากขึ้น ยุค Muromachi เริ่มมีการนำกิโมโนแขนสั้น ที่แต่ก่อนนิยมสวมเป็นชั้นใน มาสวมเดี่ยวๆ โดยไม่สวม Hakama ทับ เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้โอบิพันเอวแทนนั่นเอง ต่อมาในยุค Edo แขนของกิโมโนเริ่มมีความยาวมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่หญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน โอบิกว้างมากขึ้นและมีวิธีมัดหลากหลายแบบ ซึ่งถือว่าเป็นแฟชั่นในช่วงนั้นเลยทีเดียว แต่หลังจากนั้น รูปแบบของกิโมโนทั้งชายและหญิง โดยรวมแล้วไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก และศาสตร์ของการผลิตกิโมโน ก็ได้รับการยอมรับว่าเป็น ศิลปะชั้นสูง ปัจจุบัน แม้คนญี่ปุ่นจะไม่ได้สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก็ยังใช้ในโอกาสสำคัญอยู่


Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น