วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เกอิชา นาฏนารี #16: เกอิชา และ โออิรัน

     ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีวัฒนธรรมอันเป็นที่แปลกหูแปลกตาอยู่มากมาย และเมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่จะเข้ามาในความคิดของเราก็คือหญิงคณิกาสไตล์ญี่ปุ่นนั่นเอง ซึ่งก็คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดและแยกไม่ออกระหว่าง "หญิงคณิกา" และ "เกอิชา" โดยเรื่องราวของหญิงสาวเหล่านี้ได้กลายเป็นที่รู้จักอย่างมากผ่านภาพยนตร์เรื่อง "Memoirs of a Geisha" ในปี 2005
     ในญี่ปุ่นก็เหมือนกับหลายประเทศอื่นๆ ที่มีเรื่องราวของหญิงคณิกาปรากฏในประวัติศาสตร์ โออิรัน (花魁 : Oiran) เป็นชื่อเรียกของหญิงคณิกาสมัยญี่ปุ่นโบราณ แม้ปัจจุบันเราอาจได้ยินถึงการมีอยู่จริงของพวกเธอบ้าง แต่ก็มีจำนวนน้อยลงมากและพวกเธอก็ไม่ได้ทำหน้าที่ในการขายบริการเช่นสมัยก่อนแล้ว

ประวัติศาสตร์ของเกอิชาและโออิรัน
     ในสังคมตะวันตก เกอิชาเป็นที่รู้จักมากกว่าโออิรันมาก ซึ่งบทบาท หน้าที่ และลักษณะของพวกเธอมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ยุครุ่งเรืองของ โออิรัน คือต้นยุค Edo (ค.ศ.1600-1868) ในยุคนั้นพวกเธอเปรียบเสมือนผู้ให้ความบันเทิงและผู้มีชื่อเสียงระดับ Superstars ในทางตรงกันข้าม เกอิชาเป็นผู้ทำงานอยู่เบื้องหลังและถูกออกกฎให้สามารถแต่งตัวได้เพียงเรียบๆ เท่านั้น เพื่อไม่ให้เป็นที่โดดเด่นแข่งกับโออิรัน โออิรันเป็นหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาในศิลปะหลากแขนง และพวกเธอก็ยังได้รับการเคารพยกย่องจากการประกอบอาชีพนี้ ย้อนไปในอดีต การจะเรียกใช้บริการโออิรันได้นั้นต้องใช้เงินมหาศาล เรียกได้ว่าเทียบได้กับเงินรายรับทั้งปีของคนทั่วไปก็ว่าได้ แต่กระนั้น ไม่ว่าคุณจะมีเงินจ่ายมากเท่าไหร่ แต่โออิรันก็มีสิทธิ์ปฏิเสธแขกได้หากคนๆ นั้นดูไม่น่าเชื่อถือ
     เกอิชายังคงมีอยู่จริงมาจนถึงปัจจุบัน ตรงข้ามกับอาชีพโออิรันจริงๆ ที่ได้หายไปจากสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันตั้งแต่มีการกำหนดให้การค้าบริการทางเพศเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ก็ยังมีการพยายามรักษาวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์นี้ให้ยังคงมีชีวิตผ่านขบวนโออิรัน (花魁道中 : Oiran Douchuu) ที่สมัยก่อนก็มีการเดินขบวนโออิรันไปรอบๆ เขตของพวกเธอเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งก็จะเป็นการโฆษณาบริการของพวกเธอไปในตัว ปัจจุบันยังมีการจัดการเดินขบวนโออิรันบ้างเป็นครั้งคราวตามงานเทศกาลในจังหวัดต่างๆ ทั่วญี่ปุ่น และที่โด่งดังมากที่สุดก็คือขบวนโออิรันในเขต Asakusa จังหวัดโตเกียว (江戸吉原花魁道中) และในเทศกาล Tsubame Sakura (つばめ桜祭り) จังหวัด Nigata 
     และต่อไปนี้คือข้อแตกต่างของเกอิชาและโออิรัน ที่จะช่วยให้คุณแยกพวกเธอออกจากกันได้ง่ายขึ้น

1. กิโมโน (着物 : Kimono)

     เกอิชาแต่งตัวเรียบร้อยเรียบง่ายเสมอ และไม่สามารถสวมกิโมโนที่มีการสะท้อนแสงออกมาเป็นแวบๆ ได้ แต่สำหรับโออิรัน ทุกอย่างดูเหมือนจะตรงกันข้าม โออิรันต้องแต่งตัวให้ดูหรูหราฟุ่มเฟือยเพื่อดึงดูดความสนใจจากแขก ปกติพวกเธอจะสวมกิโมโนที่มีการสร้างลายจากแผ่นทองหรือดิ้นทองผสมผสานกับสีสันที่ฉูดฉาด ส่วนในเรื่องคุณภาพของกิโมโนที่สวมใส่ก็แตกต่างกัน เกอิชามักสวมกิโมโนที่มีราคาแพง แต่ก็ยังถูกกว่ากิโมโนของโออิรันที่ต้องทำด้วยผ้าไหมแท้ทั้งชุด โดยโออิรันตำแหน่งสูงสุดจะถูกเรียกว่า Tayuu (
太夫) โออิรันในขั้นนี้จะสวมกิโมโนหรูหราทับด้านนอกอีกชั้นที่เรียกว่า Uchikake (打掛) ซึ่่งอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดแตกต่างอย่างชัดเจนของเกอิชาและโออิรันคือ เกอิชาจะผูกเงื่อนโอบิด้านหลัง แต่โออิรันจะผูกไว้ด้านหน้า กล่าวกันว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้สะดวกต่อการให้บริการของพวกเธอที่ต้องสวมและถอดกิโมโนบ่อยครั้ง ซึ่งน้ำหนักชุดทั้งหมดของโออิรันอาจมากถึง 20 กิโลกรัมเลยทีเดียว

2. ทรงผม (日本髪 : Nihongami)
     เกอิชาจะทำผมหรือสวมวิกทรงที่เรียบง่าย แต่โออิรันมักทำผมหรือสวมวิกให้ดูอลังการพร้อมประดับเครื่องประดับมากมายเสมอ ทั้งปิ่น (かんざし
 : Kanzashi) และเครื่องประดับผมทั้งสีทองและสีสันอื่นๆ วิกที่โออิรันนิยมสวมคือทรง Date-hyogo (伊達兵庫) ที่มีการมัดผมเป็นโบว์ด้านหลังอย่างชัดเจน ในขณะที่เกอิชาจะไม่ทำเช่นนั้น โดยเฉพาะส่วนผมของโออิรันก็มีน้ำหนักถึง 10 กิโลกรัม ทำให้ชุดทั้งหมดรวมผมและเครื่องประดับของโออิรันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 30 กิโลกรัม

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก ta_ta999 - blog)
เกอิชามักสวมวิกทรง Taka-shimada

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest)
โออิรันมักสวมวิกทรง Date-hyogo

3. รองเท้า
     ทั้งเกอิชาและโออิรันสวมรองเท้าไม้ (下駄
 : Geta) เหมือนกัน แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ความสูงของรองเท้า โดยเกอิชาจะมักสวมรองเท้าไม้ที่ไม่ต่างจากรูปแบบทั่วไปนัก แต่รองเท้าของโออิรันจะสูงราว 15 เซนติเมตร ทำเช่นนี้เพื่อให้แน่ใจว่าขณะเดินขบวนจะไม่มีใครอยู่สูงกว่าโออิรันและเพื่อให้แขกมองเหห็นเธออย่างทั่วถึง โดยการเดินของโออิรันจะมีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Soto-Hachi-Monji (外八文字) แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของ "หญิงที่งาม 8 ด้าน"

(ขอขอบคุณวิดีโอจาก tane_temiya1969 on Youtube)
ขบวนโออิรัน กับวิธีการเดินอันเป็นเอกลักษณ์

4. เท้า

     ย้อนไปในสมัย Edo การเดินเท้าเปล่าโดยไม่สวมถุงเท้าในที่ส
าธารณะถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมควรนัก ในขณะที่เกอิชาสวมถุงเท้า Tabi (足袋) เสมอ โออิรันกลับไม่สวมถุงเท้าแม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวก็ตาม กล่าวกันว่าเมื่อชายหนุ่มเห็นเท้าเปล่าๆ ของเธอก็จะเริ่มรู้สึกคลั่งและหลงใหลในตัวโออิรัน ซึ่งในปัจจุบันบางครั้งก็มีการทาแป้งขาวลงบนทุกส่วนของร่างกายที่ไม่ได้ถูกปกคลุมโดยกิโมโนด้วย

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก adventuresofanette - blog และ www.tsunagujapan.com

ตำรับอาหารญี่ปุ่น #16: Hayashi Rice

     Hayashi Rice (ハヤシライス) เป็นอาหารสไตล์ตะวันตก (洋食 : Youshoku) ที่ขึ้นชื่อของญี่ปุ่น มักจะประกอบไปด้วยเนื้อวัว หัวหอม และเห็ด ราดด้วยซอส Demi-glace (ドミグラスソース) ที่อุดมไปด้วยไวน์แดงและซอสมะเขือเทศ นิยมเสิร์ฟคู่หรือราดบนข้าวหุงสุกร้อนๆ โดยบางครั้งก็อาจมีครีมสดราดด้านบนสุดด้วย

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก housefoods.jp)
Hayashi Rice

ตำรับ Hayashi Rice
สำหรับ 4 ที่

วัตถุดิบ
สำหรับน้ำซุป
     1. น้ำมัน 1 ช้อนชา
     2. เนื้อบด 150 กรัม
     3. หัวหอมใหญ่ ½ ลูก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
     4. แครอท ½ หัว หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
     5. ก้านคึ่นฉ่าย 1 ต้น หั่นให้ละเอียด
     6. กระเทียม 1 กลีบ หั่นให้ละเอียด
     7. ใบกระวาน 1 ใบ
     8. น้ำสะอาด 6 ถ้วย (ประมาณ 1,500 มิลลิลิตร)

สำหรับ Roux (ส่วนผสมของแป้งและไขมัน)
     1. แป้งเอนกประสงค์ 1/3 ถ้วย (45 กรัม)
     2. น้ำมัน 1/3 ถ้วย (80 มิลลิลิตร)

สำหรับเครื่องปรุงรส
     1. ซอส Worcester 3 ช้อนโต๊ะ
     2. ซอสมะเขือเทศ 2 ช้อนชา
     3. ครีมมะเขือเทศ (Tomato paste) 4 ช้อนโต๊ะ
     4. ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ
     5. พอร์ตไวน์ ¼ ถ้วย
     6. เกลือ ¾ ช้อนชา
     7. พริกไทย ¼ ช้อนชา
     8. เนย 1 ช้อนโต๊ะ

ส่วนผสมหลัก
     1. เนย 1 ช้อนชา
     2. เนื้อ 300 กรัม หั่นบางเป็นชิ้นพอดีคำ
     3. หัวหอมใหญ่ 1 ลูก หั่นบาง
     4. เห็ด 7-8 ชิ้น หั่นบาง
     5. ข้าวหุงสุก
     6. ถั่วลันเตาสุก 1/3 ถ้วย

วิธีทำ
     1. เริ่มต้นที่น้ำซุป อุ่นน้ำมันให้ร้อนในกระทะ ระหว่างรอให้ผสมเนื้อกับผักที่หั่นแล้วในชามใบใหญ่อีกใบ เสร็จแล้วนำลงผัดในกระทะที่เตรียมไว้เป็นเวลา 2 นาที เติมใบกระวานและน้ำ (ในส่วนของใบกระวานและน้ำนี้จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้) เคี่ยวจนสุกแล้วให้ตักเฉพาะซุปใส่ในหม้อใบใหม่ พักไว้
     2. ทำ Roux ในกระทะ ให้เทน้ำมันและแป้งลงไป ให้ความร้อนระดับปานกลางอย่างต่อเนื่องจนส่วนผสมเป็นสีน้ำตาล อาจใช้เวลาประมาณ 10 นาที แล้วพักไว้
     3. เติมวัตถุดิบในส่วนสำหรับเครื่องปรุงรสและ Roux จากข้อ 2 ลงไปผสมกับซุปที่เสร็จแล้วในข้อ 1 จากนั้นเคี่ยวด้วยความร้อนปานกลางจนซอสในหม้อเริ่มข้น
     4. เทเนยลงไปในกระทะใบใหญ่อีกใบ วางเนื้อหั่นบางลงไปทอด 1 นาที จากนั้นใส่หัวหอมและเห็ดตามลงไป ผัดต่อจนผักนุ่ม เทส่วนผสมทั้งหมดที่ได้ในข้อนี้ลงไปผสมกับซอสจากข้อ 3 แล้วเคี่ยวซอสที่อยู่ในหม้อต่ออีก 2-3 นาที
     5. ตักแกงที่ได้ราดบนข้างหุงสุก อาจเพิ่มสีสันด้วยการโรยหน้าด้วยเม็ดถั่วลันเตา

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia และ Japanesecooking101

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กิโมโนศาสตร์ #16: อุปกรณ์เสริมของกิโมโน(2)

     อุปกรณ์ที่ใช้สวมคู่กับกิโมโน (着付け小物 : Kitsuke-komono)

Happi (法被)
     เป็นอีกชนิดหนึ่งของ Haori ที่แต่ก่อนมักสวมโดยพ่อค้าแม่ค้า แต่ปัจจุบัน Happi ได้กลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานเทศกาลต่างๆ อย่างแยกไม่ออก

Hiyoku (ひよく)
     กิโมโนชั้นใน ซึ่งสมัยก่อนผู้หญิงจะสวมก่อนสวมกิโมโนทับอีกชั้นเสมอ แต่ปัจจุบันจะสวมเฉพาะในโอกาสพิเศษที่มีความเป็นทางการ เช่น งานแต่งงาน โดยในวัฒนธรรมการแต่งกายของกิโมโนชั้นสูงจะมีการสวม Hiyoku หลายชั้นก่อนสวมกิโมโนตัวจริงทับ

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.junihitoe.net)
Juunihitoe (十二単) วัฒนธรรมการสวมกิโมโนในราชสำนักที่ต้องสวมกิโมโนและ Hiyoku รวมกว่า 12 ชั้น

Juban (襦袢) และ Hadajuban (肌襦袢)

     ซับในกิโมโน ใช้สวมก่อน Nagajuban (長襦袢) โดยคำว่า Hadajuban หมายความถึงส่วนเสื้อ ส่วนส่วนที่เป็นกระโปรงคล้ายผ้าถุงจะเรียกว่า Susoyoke (裾よけ)

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก wanadesiko on Rakuten)
Kimono surippu (着物スリップ) เป็น Juban แบบชิ้นเดียวทั้งตัว
เกิดจากการผสมกันระหว่าง Hadajuban และ Susoyoke

Jittoku (十徳)
     บางครั้งอาจเรียก Jittoku Haori (十徳羽織) เป็นชนิดหนึ่งของเสื้อคลุม Haori ที่สวมโดยผู้ชายเท่านั้น Jittoku ทำมาจากผ้า Ro () หรือ Sha () ขึ้นอยู่กับฤดูกาล โดยตัว Jittaku มีความยาวถึงสะโพก และมีสายสำหรับรัดด้านหน้าที่ทำจากผ้าชนิดเดียวกันกับตัวเสื้อ บริเวณข้อมือถูกออกแบบให้เปิดกว้างทั้งหมด ต่างจาก Haori ธรรมดาที่จะมีช่องเล็กๆ สำหรับให้มือผ่านได้เท่านั้น และจะไม่มีการเพิ่มสัญลักษณ์ประจำตระกูลเพื่อเพิ่มระดับความเป็นทางการใดๆ ทั้งสิ้น
     Jittoku มีต้นกำเนิดจากยุค Kamakura (ค.ศ.1185-1333) และยุค Edo (ค.ศ.1603-1868) สมัยนั้นคนที่จะสวม Jittoku คือ หมอ นักบวช ปราชญ์ขงจื๊อ และผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีชงชาของญี่ปุ่น ปัจจุบันกลุ่มคนที่สวม Jittoku ในชีวิตประจำวันก็เห็นจะมีแต่ผู้ประกอบพิธีชงชาที่อยู่ในขั้นสูงๆ

Nagajuban (長襦袢)
     ซับในกิโมโนที่สวมได้ทั้งชายและหญิง นิยมสวมด้านในก่อนสวมกิโมโนตัวจริงทับ เนื่องจากกิโมโนส่วนใหญ่มีสวดลายที่ดูแลรักษาความสะอาดยาก การสวมซับในชั้นหนึ่งก่อน จะช่วยให้กิโมโนตัวจริงเปื้อนน้อยลง จึงไม่ต้องซักมากให้เสี่ยงลายเสียหายโดยใช่เหตุ ส่วนเดียวของ Nagajuban ที่เห็นได้จากภายนอกแม้จะสวมกิโมโนทับอีกชั้นไปแล้วก็คือปก Nagajuban หลายแบบมีปกที่สามารถแยกออกจากตัวชุดได้ เพื่อให้สามารถเปลี่ยนรูปแบบ ลาย และสีของปกให้เข้ากับกิโมโนตัวจริง และยังช่วยให้ซักทำความสะอาดได้ง่ายขึ้นด้วย ซึ่งสีของ Nagajuban ที่มีระดับความเป็นทางการสูงคือสีขาว แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่เน้นลวดลายหรูหราและสีสีนสดใสประหนึ่งเป็นกิโมโนที่จะสวมด้านนอกจริงๆ และตั้งแต่ที่กิโมโนของผู้ชายถูกปรับรูปแบบให้เรียบง่ายขึ้น Nagajuban ของผู้ชายก็กลับพัฒนาในทางตรงกันข้าม คือมีการใส่ลวดลายและสีสันสดใสโดดเด่นลงไปมากขึ้น

Kanzashi (簪)
     เครื่องประดับผมของผู้หญิงแบบญี่ปุ่นโบราณที่มีรูปแบบหลากหลายมาก ซึ่งคำๆ นี้ยังรวมไปถึงดอกไม้จากผ้า หวีเสียบ และปิ่นหยกด้วย

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก kwc_photo on Instagram)
ไมโกะ Fumiyuki จาก Kamishichiken
Tsumami Kanzashi (つまみ簪) ดอกไม้ประดับผมจากผ้า
เป็นรูปแบบของดอกเบญจมาศ สำหรับเดือนตุลาคม

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก kyohanamachi_kawamura on Instagram)
ไมโกะ Kanako จาก Miyagawacho
Tsumami Kanzashi (つまみ簪) ดอกไม้ประดับผมจากผ้า
รูปแบบพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาล Gion ในเดือนกรกฎาคม

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia
Fumiou, Tai Sakura Okiya

รำอย่างงาม ตามฉบับญี่ปุ่น #15: Kitano Kouta (Kamishichiken)

เพลง : Kitano Kouta (北野小唄)
แบบฉบับ : Kamishichiken

By: Kei Gekiku on Youtube
ไมโกะ Naokinu จากโอกิยะ Nakasato
และไมโกะ Umechie จากโอกิยะ Umeno

By: Kei Gekiku on Youtube
ไมโกะ Ichitaka จากโอกิยะ Ichi
และไมโกะ Katsuna จากโอกิยะ Daimonji

By: kunihiko takenaka on Youtube
ไมโกะ Naokinu จากโอกิยะ Nakasato
และไมโกะ Umechie จากโอกิยะ Umeno

By: kunihiko takenaka on Youtube
ไมโกะ Naokinu จากโอกิยะ Nakasato
และไมโกะ Umechie จากโอกิยะ Umeno

Fumiou, Tai Sakura Okiya

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เกอิชา นาฏนารี #15: เกโกะ และ เกอิชา

     เกอิชา (芸者 : Geisha) คำนี้มาจากอักษรสองตัว "Gei ()" แปลว่าศิลปะ "Sha ()" แปลว่าบุคคล ดังนั้นเกอิชาจึงแปลว่า "บุคคลผู้แสดงศิลปะ" ใช้เรียกกันทั่วไป โดยเฉพาะในโตเกียว
     เกโกะ (芸子 : Geiko) เป็นคำที่ใช้เรียกเกอิชาในแถบเกียวโต มีความหมายตรงตัวว่า "หญิงสาวผู้แสดงศิลปะ"
     ต่อไปนี้คือวิธีง่ายๆ ที่จะใช้แยกความแตกต่างระหว่างเกอิชาและเกโกะ

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก geisha-kai on Tumblr)
เกอิชา Chifumi ในโตเกียว
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก koimaiko_satsuki on Instagram)
เกโกะ Satsuki ในเกียวโต

1. ทรงผม (日本髪 : Nihongami)
     ทั้งเกอิชาและเกโกะจะสวมวิกทรง Taka Shimada (高島田) เหมือนกันแต่อาจมีแตกต่างกันบ้างในบางโอกาส
     โดยทั่วไปเกโกะจะสวมวิกทรง Taka Shimada เสมอ(ยกเว้นในโอกาสพิเศษ หรือด้วยรสนิยมส่วนตัวของเกโกะที่อาวุโสมาก) ส่วนเกอิชาสามารถสวมวิกได้ทั้งทรง Taka Shimada และ Tsubushi Shimada (つぶし島田) ซึ่งจะขึ้นอยู่กับขั้นของเกอิชาแต่ละคน

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก kotobank.jp)
Tsubushi Shimada (ซ้าย) Taka Shimada (กลาง) และ Nage Shimada (投げ島田) (ขวา)

2.
กิโมโน (着物 : Kimono)
     เกโกะในเกียวโตทุกคนจะสวมกิโมโนที่ยาวลากพื้น เรียกว่า Hikizuri (
引きずり) แต่หากได้รับขั้น Natori (ขั้นที่สูงขึ้นของเกโกะ) เธอก็สามารถเลือกสวมกิโมโนสีดำที่ยาวน้อยลงลงได้
     ในโตเกียว เกอิชาที่เพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานจะสวมกิโมโนทั่วไปที่ไม่ยาวลากพื้น และจะได้รับกิโมโนที่ยาวขึ้นเมื่อพวกเธอมีประสบการณ์มากขึ้น

3. โอบิ (帯 : Obi)
     เกโกะจะผูกโอบิด้วยเงื่อน Taiko (
太鼓結び) ในโอกาสทั่วไป ส่วนเกอิชาในโตเกียวจะมัดเงื่อนที่ต่างออกไป ใน Asakusa เกอิชารุ่นน้องจะผูกด้วยเงื่อน Taiko แต่เกอิชาอาวุโสที่มีประสบการณ์มากกว่าจะผูกโอบิด้วยเงื่อน Tsunodashi (角出し結び) และเกอิชาทุกคนจะผูกเงื่อน Yanagi (柳結び) ในโอกาสพิเศษ

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก shiomi.info)
เงื่อน Taiko (ซ้าย) เงื่อน Yanagi (กลาง) และเงื่อน Tsunodashi(ขวา)

4. ปกกิโมโน (衿 : Eri)
     ทั้งเกโกะและเกอิชาสวมปกกิโมโนสีขาวด้านในเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่เกอิชาจะไม่สวมปกกิโมโนสีขาวในฤดูร้อน ในขณะที่เกโกะจะสวมตลอดทั้งปี

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Geisha kai - blog

ตำรับอาหารญี่ปุ่น #15: Gyouza

     Gyouza (ギョーザ, ギョウザ) คำนี้ในภาษาญี่ปุ่นมาจากคำว่า "餃子" ในภาษาจีนแมนดารินเหนือ ซึ่งก็เขียนด้วยตัวอักษรตัวเดียวกันในภาษาจีนแมนดารินหรือภาษาจีนกลางนั่นเอง อักษรเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคำนี้มีต้นกำเนิดมาจากต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น เล่ากันว่าหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารญี่ปุ่นก็กลับมายังญี่ปุ่นบ้านเกิด พร้อมนำความรู้ในวิธีทำ Gyouza กลับมาด้วย เมนูนี้มีลักษณะเป็นเกี๊ยว ที่ต่อมาก็เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากพอๆ กับ Ramen เลยทีเดียว

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก news.cookpad.com)
Gyouza

ตำรับ Gyouza
สำหรับ 52 ชิ้น

วัตถุดิบ
     1. แผ่นแป้งสำหรับห่อเกี๊ยว 52 แผ่น
     2. น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ
     3. น้ำสะอาด ¼ ถ้วย
     4. น้ำมันงา 1 ช้อนชา

สำหรับไส้
     1. หมูบด 340 กรัม
     2. กะหล่ำปลี 2-3 ใบ (ประมาณ 140 กรัม)
     3. ต้นหอม 2 ต้น (ประมาณ 15 กรัม)
     4. เห็ดหอม 2 ต้น
     5. กระเทียม 1 กลีบ สับละเอียด
     6. ขิงสดหนา 1 นิ้ว นำมาขูดเป็นฝอย

สำหรับเครื่องปรุงรส
     1. สาเก 1 ช้อนชา
     2. น้ำมันงา 1 ช้อนชา
     3. ซีอิ๊ว 1 ช้อนชา
     4. เกลือ ¼ ช้อนชา
     5. พริกไทยดำ

สำหรับซอส
     1. น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ
     2. ซีอิ๊ว 1 ช้อนโต๊ะ
     3. น้ำมันพริก  ช้อนชา

วิธีทำ
วิธีทำไส้เกี๊ยว
     1. ถ้าใบกะหล่ำปลียังแข็งเกินไป ให้นำไปอุ่นในไมโครเวฟ 1-2 นาทีก่อน
     2. หั่นแยกส่วนแกนแข็งๆ ตรงกลางใบกะหล่ำปลีออก แล้วสับใบที่เหลือเป็นชิ้นเล็กๆ
     3. หั่นต้นหอมและเห็ดหอมเป็นชิ้นเล็กๆ
     4. เทหมูบด กะหล่ำปลี ต้นหอม และเห็ดหอมที่หั่นแล้วลงในชาม
     5. ใส่กระเทียมสับและขิงขูดตามลงไป
     6. เติมเครื่องปรุงรส (สาเก น้ำมันงา ซีอิ๊ว เกลือ และพริกไทยดำ สัดส่วนตามรายการส่วนผสมด้านบน)
     7. ผสมส่วนผสมทั้งหมดในชามเข้าด้วยกัน จากนั้นในมือนวดคลุกเคล้าจนเหนียว จะได้ไส้สำหรับเกี๊ยว
     8. วางแผ่นแป้งสำหรับห่อเกี๊ยวลงบนฝ่ามือข้างหนึ่งที่ไม่เปียก ใช้มืออีกข้างหยิบช้อนโต๊ะตักไส้ลงตรงกลางแผ่นแป้ง แล้วใช้นิ้วของมือข้างเดียวกันจุ่มน้ำ จากนั้นนำไปแตะรอบๆ แผ่นเกี๊ยวให้เปียก

วิธีห่อเกี๊ยว
     1. พับครึ่งแผ่นแป้งที่ตักไส้ใส่ลงไปแล้ว จิกขอบตรงกึ่งกลาง จากนั้นใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางจับแผ่นแป้งให้เป็นจีบทุกๆ ประมาณ ¼ นิ้ว จับจีบไปทางขวาเรื่อยๆ จนสุดแผ่นเกี๊ยว โดยต้องบียให้แน่นๆ ทุกจีบ
     2. จับจีบไปทางซ้ายในลักษณะเดียวกับวิธีห่อเกี๊ยวข้อ 1

วิธีทอดเกี๊ยว
     1. อุ่นน้ำมันในกระทะเคลือบป้องกันอาหารติดด้วยความร้อนสูงปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อนแล้ววางเกี๊ยวซ่าลงไป ให้ด้านหนึ่งเรียบติดกับกระทะ
     2. ทอดประมาณ 3 นาที ให้เกี๊ยวด้านล่างเหลือง
     3. เทน้ำสะอาด ¼ ถ้วย ลงไปในกระทะ จากนั้นให้ปิดฝากระทะทันที แล้วทิ้งไว้ 3 นาที หรือจนกระทั่งน้ำระเหยเกือบหมด
     4. เปิดฝาออก เติมน้ำมันงา 1 ช้อนชาลงไปรอบๆ ขอบกระทะ
     5. ทอดต่อโดยไม่ต้องกลับเกี๊ยวจนด้านบนเหลือง และด้านล่างที่ติดกระทะเริ่มกรอบ
     6. ตักใส่จาน เสิร์ฟพร้อมซอส โดยวิธีทำซอสคือ ให้ผสมส่วนผสมทั้งหมดในส่วนวัตถุดิบสำหรับซอสเข้าด้วยกันแล้วเทใส่ถ้วยใบเล็กๆ

เคล็ดลับ
     1. ห่อเกี๊ยวแล้วให้ทอดหรือนำเข้าช่องแช่แข็งทันที ไม่เช่นนั้นไส้จะทำให้แผ่นเกี๊ยวเปียกเสียทรง ทอดออกมาไม่สวย
     2. หากห่อเกี๊ยวแล้วแต่ต้องการเก็บไว้ทอดในภายหลัง ให้วางเกี๊ยวลงบนภาชนะเรียบพอห่างๆ กันเพื่อป้องกันการติด แล้วน้ำเข้าช่องแช่แข็ง จากนั้นนำใส่ถุงให้มิดชิด สามารถแช่ทิ้งไว้ในช่องแช่แข็งได้นานสูงสุด 1 เดือน เมื่อต้องการนำออกมาทอด ไม่ต้องทำให้หายแข็งก่อน สามารถนำออกมาแล้วทอดได้เลย แต่ต้องเพิ่มเวลาทอดไปอีก 1-2 นาทีด้วย

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia และ Justonecookbook