แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ maiko แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ maiko แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2561

กิโมโนศาสตร์ #18: Hiyoku กิโมโนชั้นใน

     ปัจจุบัน ความสำคัญของการสวมกิโมโนหลายชั้นได้ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา มีเพียงไมโกะและเกอิชาที่ยังคงสวมกิโมโนหลายชั้นอยู่ในสมัยนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้กิโมโนประกอบการร่ายรำที่งดงามมากยิ่งขึ้น เหล่าเกอิชามีเอกลักษณ์ของการสวมกิโมโนคือการดึงกิโมโนด้านหลังลงต่ำๆ เผยให้เห็นส่วนหลังของคอมากกว่าที่ปรากฏในการสวมกิโมโนของหญิงชาวบ้านธรรมดา นอกจากนี้ในงานแต่งงานในปัจจุบัน เจ้าสาวก็อาจสวมกิโมโนหลายชั้น คือสวมคู่กับ Hiyoku (ひよく : กิโมโนชั้นใน) ตามความเชื่อของลัทธิชินโต (神道: ลัทธิตามความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น) ของญี่ปุ่นได้เช่นกัน

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก kichirobi on Instagram)
ไมโกะ Fumiyuki จากโอกิยะ Katsufumi

     ไมโกะและเกโกะจะสวมกิโมโนที่เรียกว่า Susohiki (裾引き) หรือ Hikizuri (引きずり) ด้วยความยาวที่ลากถึงพื้นของกิโมโนประเภทนี้ ทำให้พวกเธอต้องดึงส่วนล่างของกิโมโนขึ้นมาเวลาเดิน เพื่อไม่ให้ปลายด้านล่างของกิโมโนเปื้อนฝุ่นจากพื้นดิน เราจึงสามารถมองเห็น Hiyoku ของไมโกะและเกโกะได้ไม่ยากนัก

     อีกหนึ่งรูปแบบของการสวม Hiyoku คือกิโมโนของเจ้าสาว นิยมสวมกิโมโนหลายๆ ชั้น โดยกิโมโนตัวหลักต้องเป็นสีขาวเท่านั้น แต่อาจสวมกิโมโนที่เรียกว่า Uchikake (打掛) ที่มีสีอ่อนคลุมอีกชั้นได้ ซึ่งจริงๆ แล้ว Hiyoku ของกิโมโนเจ้าสาวก็มีสีแดงเหมือนกัน แต่กิโมโนชั้นในเหล่านั้นจะถูกสวมด้านใน ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก  E-kimono rental on Rakuten)
กิโมโนของเจ้าสาว

     ตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของญี่ปุ่น กิโมโนจะใช้สวมคู่กับ Hiyoku โดย Hiyoku จะเปรียบเสมือนกิโมโนตัวที่สองนอกจากกิโมโนตัวหลัก ใช้สวมเป็นอีกชั้นด้านในก่อนสวมกิโมโนหลัก ตัว Hiyoku ช่วยให้ลักษณะกิโมโนที่สวมเสร็จเรียบร้อยแล้วดูมีความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมมากขึ้น ซึ่งคำว่า Hiyoku อาจหมายความถึงกิโมโนชั้นในเฉพาะส่วนล่างลงไป ที่จะปรากฏออกให้คนอื่นเห็นได้เมื่อสวมใส่ ในขณะที่ส่วนบนอาจไม่สามารถมองออกได้จากภายนอก จึงไม่จำเป็นต้องสวม Hiyoku ก็ได้

     แฟชั่นสมัยญี่ปุ่นโบราณ นิยมสวม Hiyoku เป็นกิโมโนชั้นในตลอดทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ในขณะที่แฟชั่นกิโมโนปัจจุบันจะนิยมสวมเป็นบางส่วนตามที่ได้กล่าวถึงด้านบน เป็นการให้ความรู้สึกพอเป็นพิธีการว่าจริงๆ แล้วผู้สวมกิโมโนมีการสวมชั้นในด้วยเท่านั้น

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia และ Japan-talk
Fumiou, Tai Sakura Okiya

วันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2560

เกอิชา นาฎนารี #14: เกโกะ และ ไมโกะ

     เกโกะ (芸子 : Geiko)คือผู้ให้ความบันเทิงด้วยศิลปะ พวกเธอเป็นศิลปินชั้นสูงที่อุดมไปด้วยความสามารถและความงดงาม
     ไมโกะ (舞妓 : แปลตรงตัวว่า เด็กร่ายรำ) คือเกอิชาฝึกหัด โดยเริ่มการฝึกตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนกลางถึงอายุ 20 ปี หลังจากสิ้นสุดการฝึกฝนของไมโกะ พวกเธอจะได้เลื่อนขั้นสูงขึ้นเป็นเกอิชาในพิธี Erikae (衿替え : และตรงตัวว่า เปลี่ยนปกกิโมโน)
     โดยคำว่าไมโกะและเกโกะ เป็นคำที่ใช้เรียกเกอิชาในแถบคันไซ เช่น เกียวโต นะระ และต่อไปนี้คือวิธีง่ายๆ ที่จะใช้แยกความแตกต่างระหว่างไมโกะและเก
โกะ

(ขอขอบคุณรูปภาพจาก PinkCyborn13 on Twitter)
เกโกะ Mamemaru (ซ้าย) และไมโกะ Mamesumi (ขวา)
สังเกตเห็นความแตกต่างบ้างไหมคะ

1. ทรงผม (日本髪 : Nihongami)

     ไมโกะจะมีผมที่รวบตึงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เกโกะไม่ต้องทนกับความลำบากนี้
     ไมโกะทำผมแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม (日本髪 : Nihongami) ด้วยผมจริงของพวกเธอ ส่วนเกอิชาส่วนใหญ่แล้วจะสวมวิก การทำผมจริงของไมโกะจะนำความลำบากมาให้หลายด้าน โดยเฉพาะการรักษาทรงผมนี้ให้สวยงามต่อไป แม้แต่เวลานอน พวกเธอจะนอนบนหมอนสูงที่ใช้หนุนบริเวณคอ (高枕 : Takamakura) และทำผมใหม่ทุกๆ 5-7 วัน
     การทาแป้งขาวลงบนหน้าและคอของไมโกะ จะเว้นที่บริเวณโคนผมส่วนล่างด้านหลังให้เห็นสีผิวจริงอยู่เล็กน้อย ส่วนเกโกะจะมัดผมจริงของเธอขึ้นสูง ทาแป้งจนถึงโคนผมแล้วจึงสวมวิก โดยไมโกะจะทำผมหลักๆ 5 ทรง ขึ้นอยู่กับระดับขั้นของเธอ

2. เครื่องประดับผม (かんざし : Kanzashi)
     ไมโกะจะประดับผมด้วยเครื่องประดับผมชิ้นใหญ่ เป็นดอกไม้จากผ้า เรียกว่า Kanzashi (かんざし) โดยจะเปลี่ยนชนิดของดอกไม้ทุกเดือนตามฤดูกาล ส่วนเกโกะจะเสียบเครื่องประดับที่เรียบง่ายกว่า และปริมาณน้อยกว่า
     ตามประวัติศาสตร์ มีความเชื่อว่า Kanzashi จะใช้เป็นเครื่องป้องกันตัวได้ เนื่องมาจากขาปิ่นที่มีความแหลมคมนั่นเอง


3. การแต่งหน้า (白粉 : Oshiroi)
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก fragrantolive11 on Instagram)
ไมโกะ Yuriha, Mameaki, Mametama, Tatsuha และ Mamesaya
ไมโกะรุ่นน้องที่เพิ่งเริ่มงานเป็นปีแรก ได้รับอนุญาตให้ทาปากสีแดงเฉพาะริมฝีปากล่างเท่านั้น
(ยกเว้นบางกรณีในเขต Pontocho) โดยมีเหตุผลว่าการทาปากลักษณะนี้จะแสดงถึงความเป็นเด็ก

     ไมโกะและเกโกะจะแต่งหน้าคล้ายๆ กัน อย่างไรก็ตาม ไมโกะมีการใช้แป้งสีแดงหรือชมพูแต้มเพื่อไล่สีกับสีขาวบริเวณรอบตาและแก้มด้วย


4. กิโมโน (着物 : Kimono)

     กิโมโนของไมโกะนั้นมีสีสันและมีลวดลายมากกว่าของเกโกะ และยังมีแขนกิโมโนที่ยาวกว่ามากด้วย คล้ายๆ กับกิโมโน Furisode (振り袖 : กิโมโนแขนยาว) ส่วนเกโกะจะสวมกิโมโนแขนสั้นที่มีสีสันน้อยกว่า แต่เน้นให้มีมีลวดลายวิจิตรงดงามแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่

5. โอบิ (帯 : Obi)
     โอบิของไมโกะมีความกว้าง (1 ฟุตเป็นอย่างน้อย) และยาวมาก (5-6 เมตร) ใช้ผูกกิโมโนด้วยเงื่อน Darari (だらりの帯 : Darari no Obi) ส่วนเกอิชานั้นใช้โอบิแบบสั้นกว่า และผูกด้วยเงื่อน Otaiko (お太鼓結び : Otaiko musubi) ธรรมดา

6. ปกกิโมโน (衿 : Eri)

ปกกิโมโนของไมโกะ
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก tomtombeat on Instagram และ tigertakashi on Instagram)
ไมโกะรุ่นน้อง Chikasuzu และไมโกะอาวุโส Fumiyoshi
มีกฎว่า ไมโกะรุ่นน้อง (ปี1-3) จะสวมปกกิโมโนที่มีลวดลายเน้นสีแดง ส่วนไมโกะอาวุโส (ปี3-6) จะสวมปกกิโมโนสีขาวล้วน

ความแตกต่างของปกกิโมโนทางด้านหลัง
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก fragrantolive11 on Instagram และ minerinhane on Instagram)
ไมโกะ Hinayuu และเกโกะ Korin
ปกด้านหลังของไมโกะเป็นสีแดงเสมอ (ไม่ว่าจะเป็นไมโกะมากี่ปีแล้วก็ตาม)
ส่วนปกด้านหลังของเกโกะจะเป็นสีขาวเสมอ

     ปกกิโมโนของไมโกะมักมีลวดลาย โดยไมโกะรุ่นน้องจะสวมปกสีแดงปักลวดลายต่างๆ ส่วนไมโกะอาวุโสจะใช้ปกสีขาวเมื่อมองจากด้านหน้า และเป็นสีแดงเสมอเมื่อมองจากด้านหลัง ส่วนปกกิโมโนของเกโกะจะเป็นสีขาวล้วนทั้งด้านหน้าและหลัง

7. รองเท้า
     ไมโกะมักสวมรองเท้าแบบสูง เรียกว่า Okobo (おこぼ) ส่วนเกโกะจะสวมรองเท้าเกี๊ยะทำขึ้นพิเศษที่สูงน้อยกว่า เรียกว่า Komachi-geta (小町下駄) แต่ในโอกาสที่ทั้งไมโกะและเกโกะต้องเดินในระยะทางไกลๆ พวกเธอก็จะเลือกสวมรองเท้า Zori (草履) แทน

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Japan-talk

วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

กิโมโนศาสตร์ #9: Hikuzuri และ Susohiki

     กิโมโน Hikizuri (引きずり着物)

     กิโมโน Hikizuri หรือ Susohiki (裾引き着物) ปกติแล้วจะสวมใส่โดยนักแสดงศิลปะญี่ปุ่นแบบโบราณ และเกอิชา โดยกิโมโนประเภทนี้มีความยาวมากกว่ากิโมโนปกติมาก เพราะต้องการให้ส่วนล่างของตัวกิโมโนยาวลากพื้นเมื่อสวมใส่ทำการแสดง ซึ่งคำว่า Susohiki แปลตรงตัวได้ว่า "กระโปรงยาวลากพื้น" กิโมโนของผู้หญิงแบบธรรมดามีความยาว 1.5 - 1.6 เมตร ในขณะที่กิโมโน Hikizuri สามารถมีความยาวได้ถึง 2 เมตร ลักษณะเด่นอีกประการของกิโมโนประเภทนี้คือ เมื่อถูกสวมโดยเกโกะ (芸子 : ใช้เรียกเกอิชาในสำเนียงคันไซ ส่วนมากหมายถึงเกอิชาในเกียวโต) หรือไมโกะ (舞妓 : เกโกะฝึกหัด) พวกเธอจะดึงกิโมโนส่วนล่างขึ้นไปเพื่อไม่ให้ถูกพื้นที่สกปรกในขณะเดิน เผยให้เห็นกิโมโนชั้นใน (Nagajuban : 長襦袢) ที่มีลวดลายสวยงาม

กิโมโน Hikizuri ใช้สำหรับสวมประกอบการร่ายรำ

กิโมโน Hikizuri มีความยาวมากกว่ากิโมโนธรรมดาถึงครึ่งเมตร
กิโมโนธรรมดา

เกอิชา โดยเฉพาะเกโกะและไมโกะในเกียวโตจะสวมกิโมโน Hikizuri เสมอ

เมื่อเกโกะและไมโกะสวมกิโมโน Hikizuri พวกเธอจะดึงกิโมโนส่วนล่างขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกพื้นที่สกปรกในขณะเดิน
ผ้าสีแดงด้านล่างคือกิโมโนชั้นใน เรียกว่า Nagajuban

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

เกอิชา นาฏนารี #3: วิวัฒนาการของเกอิชา

     เกอิชาที่ทำงานอยู่ในสถานเริงรมย์มีข้อห้ามในการขายบริการทางเพศอย่างเด็ดขาด เพื่อให้เป็นที่แบ่งแยกชัดเจนกับ Oiran (花魁) หญิงคณิกาเหล่านี้สามารถมีสัมพันธ์กับแขกได้อย่างถูกต้องเพราะมีการอนุญาติกันอย่างเป็นทางการ ในขณะที่เกอิชาจะมีส่วนเล็กๆ ที่สามารถใช้แบ่งออกจากหญิงคณิกาได้ โดยเปรียบเกอิชาเสมือนเป็นศิลปินหญิงผู้คงแก่เรียน

     ในช่วง ค.ศ.1800 เกอิชาดูเหมือนจะเป็นอาชีพสำหรับผู้หญิง แม้ว่าจะมีเกอิชาชายอยู่จำนวนเล็กน้อยมากก็ตาม ในที่สุดการแต่งกายของ Oiran ที่สุดแสนจะฉูดฉาดก็ไม่ถือเป็นแฟชั่นเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป เพราะถูกเกอิชาที่แต่งตัว “เก๋” กว่าเข้ามาแทนที่ ต่อมาในปี ค.ศ.1830 การแต่งกายเยี่ยงเกอิชากลายเป็นที่นิยม ส่งผลให้หญิงแทบทั่วไปในสังคมแต่งกายเลียนแบบพวกเธอ โดยบนวิถีของเกอิชานั้นมีประเภทและระดับชั้นหลากหลายมาก จึงมีบางกลุ่มขายบริการทางเพศ ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งไม่ทำเช่นนั้น แต่เพียงแสดงศิลปะที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเคร่งครัด จนถึงปี ค.ศ. 1900 การค้าประเวณีก็ไม่เป็นสิ่งถูกกฎหมายอีกต่อไป

     สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างความเสื่อมถอยในสังคมเกอิชาในญี่ปุ่นอย่างมาก เพราะหญิงหลายคนต้องเปลี่ยนไปทำงานในโรงงานหรืองานอื่นแทน และสงครามยังส่งผลต่อชื่อเสียงของพวกเธอ หลายคน โดยเฉพาะทหารอเมริกันเข้าใจพวกเธอผิด และนำพวกเธอไปรวมกับคำว่า “หญิงคณิกา” ทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่ความจริง ต่อมาในปี ค.ศ.1944 โลกของเกอิชา หมายความรวมถึงโรงน้ำชา สถานให้ความบันเทิงทางศิลปะ และสำนักเกอิชา (โอกิยะ : 置屋) ถูกสั่งปิด ทุกคนในสายอาชีพนี้จึงต้องหันไปทำงานในโรงงานแทน แต่หลังจากนั้นประมาณปีหนึ่งก็ถูกยกเลิกคำสั่งปิด ทำให้พวกเขาเริ่มมาเปิดกิจการเกี่ยวกับเกอิชากันอีกครั้ง และหลายคนที่กลับไปทำงานเกอิชานั้นได้มีความคิดต่อต้านอิทธิพลตะวันตก แล้วหันหลังกลับมาใช้ชีวิตแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม ภาพลักษณ์ของเกอิชาถูกสร้างขึ้นในสังคมศักดินาสมัยโบราณของญี่ปุ่น และภาพลักษณ์เหล่านี้นั่นเอง ที่พวกเธอต้องการรักษาให้คงอยู่ไว้ต่อไป

     หลังญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงคราม เหล่าเกอิชาต่างแยกย้ายกันไป ทำให้อาชีพนี้ตกอยูในวิกฤติ แต่ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งในช่วง ค.ศ.1960 และส่งผลให้อาชีพเกอิชากลับมาเจริญอีกครั้งในช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังลุกขึ้นมาเติบโตอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงก็คือเด็กหญิงจะไม่ถูกขายหรือถูกบังคับแต่อย่างใด แต่ชีวิตของพวกเธอหรือแม้แต่ชีวิตรักก็จะเป็นไปตามแต่ใจพวกเธอจะปรารถนา

เกโกะฝึกหัด (ไมโกะ : 舞妓)

     มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นมากมายในช่วงสงคราม ไมโกะ (เกโกะฝึกหัด) ถูกเข้าใจว่าจะต้องมีการประมูลเพื่อซื้อความบริสุทธิ์ของพวกเธอ (Mizuage) อันเนื่องมาจากความสับสนระหว่างพิธีของไมโกะและ yuujo (คณิกาฝึกหัด) ซึ่งพิธีซื้อความบริสุทธิ์นี้กลายเป็นสิ่งกฎหมายตั้งแต่ปี ค.ศ.1959 เป็นต้นมา และกฎหมายการศึกษาภาคบังคับตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 ยังทำให้การฝึกฝนเกอิชาแบบดั้งเดิมยากขึ้นด้วย เพราะแต่ก่อน การฝึกฝนเด็กหญิงเพื่อเป็นเกอิชาจะเริ่มตั้งแต่เล็กๆ (อาจจะตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบด้วยซ้ำ) ซึ่งในปัจจุบันไม่สามารถทำได้

     โลกของเกอิชาแม้จะยังคงเป็นเรื่องลึกลับแม้กับชาวญี่ปุ่น แต่ก็ยังมีหนังสือเกี่ยวกับเกอิชามากมาย หนึ่งในนั้นคือหนังสือของ Mineko Iwasaki เธอกล่าวว่า “ฉันอาศัยอยู่ในโลกของเกอิชา (Karyuukai : 花柳界) ประมาณระหว่างปี ค.ศ.1960 ถึง 1970 แม้ช่วงนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจากสังคมโบราณสู่สังคมสมัยใหม่ แต่ฉันก็ยังคงอาศัยอยู่ในสังคมที่ถูกแยกออกต่างหาก ที่ซึ่งมีเป้าหมายสำคัญคือการรักษาวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมของเราไว้ให้คงอยู่สืบต่อไป”

Fumiou, Tai Sakura Okiya
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia